รีวิวทริปเที่ยวเกาหลีใต้ กรุงโซล ซอรัคซาน เกาะนามิ ด้วยตนเอง

รีวิวทริปเที่ยวเกาหลีใต้ กรุงโซล ซอรัคซาน เกาะนามิ ด้วยตนเอง
South Korea Trip Review, Seoul Soraksan Sokcho Nami Island

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วันที่ 4 เดินทางไปเมืองซกโช (속초) และอุทยานแห่งชาติซอรัคซาน (설악산국립공원) นอนค้างซอรัคซาน 1 คืน (วิธีเดินทางจากโซล ไปเมืองซกโช และไปอุทยานแห่งชาติซอรัคซาน)

สวัสดียามเช้าครับ วันนี้เป็นวันที่ 4 ของการเดินทาง ซึ่งตรงกับวัน อาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม 2556 พวกเราตื่นแต่เช้ามาก เก็บข้าวของ เช็คเอาท์ห้องทั้งหมดเหลือไว้แค่ห้องเดียวที่ไว้เก็บกระเป๋าสัมภาระ เพราะวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะไม่จ่ายค่าห้องฟรีๆ 1 คืน ที่เราไปนอนซอรัคซาน ส่วนห้องที่เอาไว้เก็บกระเป๋าก็มาหารกัน ตกคนละ 100 กว่าบาท การเดินทางของเราวันนี้จะเริ่มต้นจากการไปขึ้นรถัสที่ Dong Seoul Bus Terminal ครับ วิธีการไป Dong Seoul Bus Terminal จาก เมียงดงที่เราอยู่ คือนั่ง Subway จากสถานีเมียงดง (424) ไปลงสถานี Dongdaemun History & Culture Park (422) แล้วเปลี่ยนสายเป็นสีเขียวคือสาย 2 (205) นั่งไป 9 สถานี ลงสถานี Gangbyeon (214) 


จากสถานี Gangbyeon ให้เดินออกประตู 4 จะเห็นอาคารนี้อยู่ฝั่งตรงข้ามทางที่เราเดินออกมาจากสถานี ให้เดินข้ามถนนมาเลยครับ ตอนแรกไม่คิดว่าจะเป็นอาคารนี้เพราะมันเหมือนตึกสำนักงานมากกว่าจะเป็นท่ารถ (อนุมานไว้ก่อนว่าประมาณหมอชิต หรือสายใต้บ้านเรา) เลยต้องถามคนแถวนั้นเอาว่า Dong Seoul Bus Terminal มันอยู่ตรงไหนกันแน่ เขาก็ชี้มานี่แหละครับ ฝั่งตรงข้ามที่เรายืนอยู่นี่เอง


เข้ามาข้างในก็ถึงบางอ้อครับ ว่ามันเป็นห้องจำหน่ายตั๋วหลายสายมากๆ แล้วแต่ว่าคุณจะไปไหน ขอบอกเอาไว้ว่าทุกเคาน์เตอร์มีแต่ป้ายบอกสถานที่เป็นภาษาเกาหลีเท่านั้นครับ เพราะฉะนั้นต้องถามเจ้าหน้าที่ข้างในนั้นอย่างเดียวครับ บอกว่าจะไปซกโช (속초) เขาก็ชี้มาที่เคาน์เตอร์ตรงนี้ 


 บอกเขาว่าจะไปซกโช (속초) ก็ได้ตั๋วมาหน้าตาเป็นแบบนี้ครับ ระบุ Dong Seoul (동서울) - Sokcho (속초) เวลารถออกคือ 09:59 a.m. ชานชลาที่ 4 หรือ 5 ที่นั่งในรถระบุหมายเลขชัดเจน ราคาตั๋วคนละ 17300 วอน ประมาณ 455 บาท อ้อที่นี่จ่ายค่าตั๋วด้วยบัตรเครดิตได้นะครับ 



เวลาเหลือเฟือ ก็เลยหาอะไรกินเล่นพลางๆ มีร้านขายขนมกินเล่น และพวกใส้กรอกเสียบไม้ เสร็จแล้วก็ออกมาดูชานชลา 4 หรือ 5 ที่เราจะต้องขึ้นรถ แต่ป้ายชานชลาหมายเลข 4 มันไม่ได้มีคำว่า sokcho เลยนะ มันไปที่อื่น มีแต่หมายเลข 5 ที่เป็นป้ายบอกว่าไป Sokcho 


ผมได้ตารางเที่ยวรถมาด้วยครับ จาก Dong Seoul Bust Terminal เที่ยวที่เราไปคือเที่ยวที่ 5 ครับเวลา 9:59 น.ครับ ส่วนเที่ยวเวลา 13 นาฬิกากว่าๆนั้น ที่เป็นรอยแก้ด้วยปากกา ผมไม่แน่ใจว่าที่ถูกต้องคอืเวลาเท่าไหร่กันแน่ แต่ก็ควรเดินทางเที่ยวเช้าๆดีกว่าครับ ที่จริงแนะนำเที่ยว 9:05 น.ครับ เพราะจะได้เหลือเวลาเที่ยวในเมืองซกโชตอนเย็นเยอะขึ้นครับ เรามาไม่ทันเพราะไม่มีข้อมูลเวลารถเลยต้องรออีกเกือบ 1 ชั่วโมงที่เสียเวลาไป 
อ้อนิดหนึ่งครับผมว่าห้องน้ำที่สถานีขนส่งที่นี่สะอาดน้อยกว่าที่อื่นทุกๆที่ในเกาหลีครับ แต่ก็ไม่ได้สกปรกมากนะครับ แต่ถ้าเป็นที่อื่นแบบว่ามันสะอาดมาก สะอาดซะจนคิดว่ามันน่าจะนอนได้เลยล่ะครับอิๆๆๆ


เวลาบนหน้าปัดรถบัสโชว์ 09:59 น. คนขับก็เรียกผู้โดยสารให้ขึ้นรถ เดินเข้าคิวขึ้นรถ ก่อนขึ้นรถคนขับก็ต้องฉีกเอาหางตั๋วออกไปเหลือครึ่งเดียวครับ  


ให้เห็นภายในรถบัสครับ รถบัสออกตรงเวลาเด๊ะ ไม่มีคำว่าเลทครับ


รถบัสค่อยๆ ออกมานอกเมืองเรื่อยๆ จากที่เป็นตึกรามบ้านช่องเยอะๆก็ค่อยๆน้อยลงและกลายเป็นที่โล่งๆ หรือทุ่งนา หรือป่าเขา และจำได้ว่ามันมีอุโมงค์ที่เขาเจาะผ่านหุบเขาเป็นทางรถวิ่งหลายอุโมงค์มากๆครับ พวกเราต่างก็หลับๆตื่นๆ วิวก็อยากดูแต่ง่วงมากครับเพราะตื่นกันแต่เช้า สุดท้ายก็ต้องแพ้หนังตาตัวเองครับ หลับไม่รู้เรื่องเลย ดูนาฬิกา รถบัสขับมาได้ชั่วโมงกว่า คนขับก็จอดแวะพักระหว่างทางให้หาอะไรกินหรือเข้าห้องน้ำครับ วิวตรงลานจอดเป็นอย่างนี้ครับโล่งๆ 


หลวงไข่ลงมาถ่ายรูปรถเป็นที่ระทึก 1 รูปครับ คนขับท่าทางจะจอดนาน แต่ไม่มีคนลงเลยหลับกันทั้งนั้น อากาศข้างนอกเย็นกว่าในรถบัสอีก ชอบมากๆครับ อากาศเย็นๆท่ามกลางแสงแดดจ้า


จอดแวะจอดพักเครื่องที่นี่ครับ เป็นร้านอาหาร มินิมาร์ท และห้องน้ำสะอาดไว้คอยบริการฟรีด้วยครับ 


มองไปทางด้านหลังรถบัส เห็นอุโมงค์ที่เราเพิ่งลอดออกมา ก่อนจะมาจอดตรงนี้ครับ


หลังจากนั่งรถบัสมา 2 ชั่วโมงครึ่งจากโซล เราก็มาถึงเมืองซกโชแล้วครับ เขาจะจอดให้เราลงตรงนี้ครับเป็นสถานี Sokcho Bus Station ภาษาเกาหลีด้านบนป้ายในรูปใช้ว่า Sokcho Bus Terminal (속초버스더미널) ข้างในเป็นลานจอดรถโล่งๆครับ ไม่ได้กว้างใหญ่มาก ในรูปด้านขวามือที่เป็นอาคารคล้ายๆกรวยแหลมๆสีน้ำตาลๆจะเป็นที่ขายตั๋วครับ (เราต้องกลับมาที่นี่อีกพรุ่งนี้เพราะเราจะไปเกาะนามิ จึงต้องเดินทางจากเมืองซกโชไปเมืองชุนชอน(춘천) ครับผม )


ลงมาจากรถก็ออกอาการงงเล็กน้อยว่าต้องเดินทางต่อไปซอรัคซานยังไง ลุงโชเฟอร์เลยบอกให้เดินมาที่ป้ายรถเมล์ตรงนี้ครับ ห่างจากท่ารถที่เราลงรถเมื่อกี้แค่ 20 เมตรเห็นจะได้ คือลงรถปุ๊บก็เดินมารอรถเมล์ได้ตรงนี้เลยครับ 


ภาพนี้เป็นการถ่ายมองย้อนกลับไปที่ Sokcho Bus Station จากป้ายรถเมล์ที่เราเดินมารอรถเมล์เข้าอุทยานแห่งชาติซอรัคซานนะครับ จะเห็นได้ว่าเดินมานิดเดียวครับ สังเกตอาคารทรงกรวยสีน้ำตาลในรูปอีกทีนะครับ ว่ามันไม่ไกล อ้ออย่างงนะครับ เกาหลีเขาขับรถเลนขวา ไม่ได้ขับเลนซ้ายเหมือนบ้านเรา เราเลยต้องยืนรอรถเมล์ฝั่งนี้แหละครับ


ที่ป้ายรถเมล์นี้จะมีรถเมล์ผ่าน 3 สายครับ คือสาย 1-1, 7-1, 9-1  ซึ่งสายที่เราจะใช้เดินทางไปอุทยานแห่งชาติซอรัคซานคือสาย 7-1 นะครับ สีเหลืองๆในรูปคือเวลาที่รถสาย 7-1 จะเดินทางมาถึงป้ายรถเมล์แห่งนี้ครับ เนืองจากเราไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันจะวิ่งตามเวลาอย่างนี้ สมาชิกของเราปวดฉี่ไปเข้าห้องน้ำในอาคารที่เขาขายตั๋ว ปรากฏว่ารถเที่ยว 12:30 ก็ผ่านมาแล้วครับ สมาชิกมาไม่ทันเลยพลาดรถคันนี้ ต้องรอคันถัดไปคือเวลา 12:55 น. 


เพื่อเป็นการไม่ให้เสียอารมณ์ในการรอ สมาชิกเราก็ไปซื้อกาแฟมาดื่มกัน เป็นร้านกาแฟที่อยู่หลังป้ายรถเมล์ที่เรายืนอยู่นี่แหละครับ ขอบอกว่ากาแฟขมมากๆ ไม่อร่อยอย่างแรง 555 


ฝั่งตรงข้ามป้ายรถเมล์ที่เรายืนอยู่จะเป็นปั๊มน้ำมันแห่งนี้ครับ 


รออีกครู่หนึ่งรถบัสก็เที่ยว 12:55 น.ก็มาถึงครับ ดูซิค่อนวันไปแล้วยังไม่ถึงซอรัคซานเลย เสียเวลามากๆ อันนี้ผมคิดว่าถ้าเรารู้เวลารถสักนิดก่อนเดินทาง เราจะเดินทางได้เร็วกว่านี้ครับ ใครเดินทางแบบเดียวกับผมเอาเวลาไปดูเลยครับจะเป็นประโยชน์มากจริงๆครับ ก่อนขึ้นรถบัสสาย 7-1 นี้เราต้องยอดเหรียญก่อนนะครับ  คนละ 1100 วอนตลอดสาย สาย 7-1 นี้จะไปจอดป้ายสุดท้ายตรงทางเข้าอุทยานแห่งชาติซอรัคซานเลยครับ 


นั่งมาสักพัก ก็ติดไฟแดง มองเห็น Expo Tower อยู่ไกลๆครับ ที่เป็นหอคอยบิดๆเกลียวๆนั่นแหละครับ เดี๋ยวตอนเย็นๆจะมาเก็บรูปนะครับ ตอนนี้เราต้องเดินทางไปอุทยานแห่งชาติซอรัคซานกันก่อนครับ 


นั่งรถเมล์สาย 7-1 มาสุดสาย ใช้เวลา 30 นาทีโดยประมาณ รถก็จอดให้เราลงที่ป้ายหน้าทางเข้าอุทยานแห่งชาติซอรัคซานครับ และต้องเดินเข้าไปเองตามทางแบบนี้ครับ 


ถาพนี้ถ่ายย้อนกลับไปด้านหลัง จะเห็นลานจอดรถหน้าทางเข้าอุทยานและป้ายรถเมล์สาย 7-1 อยู่ลิบๆอยู่ด้านซ้ายมือของรูปครับ


ตลอดทางเดินเข้าอุทยานก็มีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และพวกขนมและน้ำดื่มหรือน้ำผลไม้ครับ แม่ค้าน่ารักมากครับ ชวนเชิญให้ซื้อของแบบน่ารักๆ กลับมาดูรูปใหม่ ทำไมไม่ช่วยซื้อเขาเนี่ย 555


ถัดมาก็จะเป็นที่จอดแท็กซี่ครับ 


ทีนี้เราจะเจอออฟฟิซขายตั๋วเข้าอุทยานครับ 


บัตรเข้าชมอุทยานหน้าตาเป็นแบบนี้ครับ คนละ 3000 วอน (ประมาณ 79 บาท) ในตั๋วระบุ 7000 วอนเพราะจ่ายในราคา 2 คนครับ รูดการ์ดไม่ได้นะครับตรงนี้จ่ายเงินสดอย่างเดียวครับ


เข้ามาข้างในเขตอุทยานเจอรูปปั้นน้องหมีใหญ่ตัวนี้แหละครับที่เป็นสัญลักษณ์ของอุทยานแห่งชาติซอรัคซาน ใครๆเห็นก็ต้องอดไปถ่ายรูปด้วยไม่ได้


เดินเข้ามาข้างในอีกจะเจออาคารนี้ด้านซ้ายมือครับ เป็นอาคารที่เราต้องขึ้นเคเบิ้ลคาร์ไปชมวิวข้างบนครับ สังเกตดูในรูปดีๆนะครับ มีสายสลิงของเคเบิ้ลคาจากตัวอาคารขึ้นไปบนภูเขาครับ 


เข้ามาในตัวอาคาร ซื้อตั๋วขึ้นเคเบิ้ลคาร์ ราคาไป-กลับคนละ 9000 วอน (ประมาณ 236 บาท) ในตั๋วระบุราคา 18,000 วอนเพราะผมรูดการ์ดจ่าย 2 คนครับ ตั๋วระบุเวลา boarding time หรือเวลาขึ้นเคเบิ้ลคาร์เวลาบ่าย 2:35 ครับ ยังเหลือเวลาอีกเยอะ เราเลยไปหาอะไรกินรองท้องกันก่อนในอาคารนี้ชั้นล่างจะเป็นโรงอาหารครับ มีขายก๋วยเตี๋ยวเส้นดำๆที่เรียกว่า จาจังเมียน (짜장면) ด้วยครับ แต่ผมไม่กล้ากิน เห็นน้องๆเขาบอกอร่อย ผมกินก๋วยเตี๋ยวธรรมดาแทน 


ใกล้ถึงเวลาแล้วก็ขึ้นมาข้างบนนะครับ รูปนี้ย้อนแสง มืดมาก แต่ให้ดูที่ป้ายนะครับ เขาจะบอกว่า boarding time ปัจจุบันคือเวลาเท่าไหร่ อันนี้บ่าย 2:30 ของเรา บ่าย 2:35 ก็เข้าไปรอสแตนบายในแถวได้เลยครับ 


คนขึ้นไปเต็มแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะปล่อยเคเบิ้ลคาร์ขึ้นไปครับ 


รูปนี้ให้ดูเคเบิ้ลคาร์ที่ใต่ความสูงขึ้นไปเรื่อยๆนะครับ 


ป้ายแสดงระดับความสูงของจุดที่เคเบิ้ลคาร์ขึ้นไป 700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล (คือ Gwongeumseong Fortress : 권금성)  กับจุดปล่อยเคเบิ้ลคาร์ที่สูง 222 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล (설악동)


อันนี้เคเบิ้ลคาร์ของคนที่อยู่ข้างบน Gwongeumseong Fortress (권금성) กำลังลงมาข้างล่างครับ 


คราวนี้ก็ถึงตาพวกเราขึ้นเคเบิ้ลคาร์แล้วครับ ขอบอกว่าเคเบิ้ลคาร์เที่ยวหนึ่งบรรจุผู้โดยสาร 50 คนเห็นจะได้ เพราะฉะนั้นถ้าอยากชมวิวระหว่างทางในเคเบิ้ลคาร์ต้องรีบไปแย่งมุมตรงรอบๆนอกเท่านั้น ถ้าอยู่ข้างในก็ถ่ายรูปไม่ได้ครับ คนเยอะเต็มไปหมด เคเบิ้ลคาร์พาพวกเราสูงขึ้นเรื่อยๆ มองเห็นวิวของวัดซินฮึงซา (신흥사) อยู่เบื้องล่างครับวัดที่มีพระพุทธรูปสำริดปางสมาธิองค์ใหญ่มากๆ 


ยิ่งสูงก็ยิ่งเห็นวิวสวยๆเยอะขึ้นครับ 


อันนี้วิวยอดเขาก่อนที่เคเบิ้ลคาร์จะจอดที่ กวอนกึมซองฟอร์เทรส นะครับ (Gwongeumseong Fortress : 권금성)


มีกล้องส่องทางไกลให้ชมวิวด้วยครับ 


แถมอีกรูปครับ วิวเมืองซกโชอยู่ลิบๆเบื้องล่างครับ 


ถึง Gwongeumseong Fortress ก็ใช่ว่าจะสิ้นสุดนะครับ เพราะว่าเราต้องเดินไปตามทางขึ้นเขาลงเขาอีก 20 นาทีเห็นจะได้ ไปยังยอดเขาพีซอนแด (Biseondae  : 비선대) 


ขึ้นมาได้สักพักก็เหนื่อยเลยแวะถ่ายรูปกันเล่นๆ  แต่ตัวเล็กบอกยังไม่เหนื่อยเลย ให้รีบขึ้นอย่างเดียวเลย


นี่แหละครับยอดเขา Biseondae ที่ว่าเมื่อกี้ เหมือนจะไม่สูง แต่มันสูงมากๆครับ ลมแรงมากๆ เดินแทบปลิว 


หุบเขาสูงชันเหลือหลาย ตรงนี้เป็นหน้าผาเลยครับ ตกลงไปคงไม่เหลือ น่ากลัวมากๆ ตอนลมพัดมาแรงๆต้องรีบนั่งเลยครับ กลัวปลิว 5555 แรงมากจริงๆ 


ภาพนี้ถ่ายจากข้างบนลงไปข้างล่างทางที่เราเดินขึ้นมาเมื่อกี้ครับ


จะถ่ายรูปก็ต้องหาที่ยึดที่มั่นไว้ให้ดี เดี๋ยวล้มลงได้ง่ายๆครับ ปล. นายแบบเทห์มาก (ภูมิใจเขาหล่ะ ได้ออกสื่อ)


นางแบบเราก็เซ็กซี่มิใช่น้อย....ภาพนี้ผมภูมิใจนำเสนอมากครับ 


เผลอแป๊บเดียว นายแบบเราขึ้นไปบนยอดแล้ว สูงมากเสียวไส้ติ่งแทน 


ขากลับนายแบบของเราก็ถึงกับเข่าอ่อน เดินลงไม่ได้ เพราะมันเสียวมาก ต้องนั่งลงแล้วค่อยๆถดลงมาข้างล่างเรื่อยๆ บอกแล้วว่าอย่าขึ้นไป มันน่าหวาดเสียวจริงๆนะครับ 


เสร็จแล้วก็กลับลงมาที่ Gwongeumseong Fortress เหมือนเดิม เพื่อรอขึ้นเคเบิ้ลคาร์ลงมาข้างล่างเหมือนเดิม (เคเบิ้ลคาร์ขาลงไม่ได้ระบุเวลานะครับ พอคนเต็มจำนวนเขาก็ปล่อยลงครับ)


แล้วเราก็เดินเข้าไปเที่ยววัดซินฮึงซา (신흥사) กันครับ ผ่านซุ้มประตูวัดเข้าไปครับ 


ภูมิใจมากๆกับซากุระต้นนี้ครับ เพราะเราตั้งใจว่ามาให้ทันซากุระบาน แต่มันร่วงไปหมดแล้วครับ เหลือแต่ที่อุทยานแห่งชาติซอรัคซานครับ ยังบานอยู่ สวยงามมากครับ 


เข้ามาในวัดแล้วก็ต้องตรึงตาตรึงใจกับองค์พระพุทธรูปนี้ครับ 


ตรงลานด้านหน้าองค์พระพุทธรูปมีซุ้มสองซุ้มนี้เป็นที่ให้นักท่องเที่ยวทำบุญข้าวสาร ธูปเทียน ถวายองค์พระครับ ชุดละ 30,000 วอน (769 บาท) ผมรู้สึกว่ามันเยอะไปเลยไม่ได้ทำครับ อิๆๆ แต่มี 1 ในสมาชิกของเราตั้งใจทำบุญนี้มากๆครับ นั่นไงครับ เล็กๆในรูปน่ะ หอบข้าวสารกับธูปเทียนมาแล้ว คุณป้าที่อยู่ในซุ้มพูดภาษาไทยครับ (แต่แกเป็นคนเกาหลี)


ได้มาแล้วก็นำมาถวายตรงแท่นวางหน้าพระพุทธรูปแล้ว อธิษฐานขอพร เสร็จแล้วก็จุดเทียนเอามาใส่ในตู้ด้านซ้ายมือในรูปนะครับ 


ตรงแท่นวางข้าวสารถวายพระพุทธรูปมีเจ้ากบนี้ด้วยครับ เอาไว้ใส่เงินบริจาควัด ผมก็ถือโอกาสใส่เงินไปในปากกบนี้ เป็นการทำบุญให้วัดด้วยครับ 


ด้านข้างซุ้มที่บริจาคทำบุญมีบ่อน้ำดื่มศักดิ์สิทธิ์ให้ดื่มกินเพื่อเป็นสิริมงคลด้วยครับ ผมตักใส่ขวดมาเต็มเลย สุดท้ายขวดหล่นหายไปไหนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ สรุปว่าไม่ได้ลองชิมครับ มีลุงโรธคนเดียวได้ดื่ม น่าจะเป็นน้ำที่มาจากลำธารแล้วต่อท่อขึ้นมาบริการประชาชนครับ น้ำใสมากๆครับ 


จากนั้นก็เดินต่อไปอีกนิด เจอซุ้มด้านขวามือในรูปครับ เป็นที่บริจาคกระเบื้องมุงหลังคา โดยการเขียนชื่อเราไปบนแผ่นกระเบื้องครับ หลังจากนั้นก็มีสะพานสองสะพานให้เลือกเดินข้ามครับ  ที่จริงมีทางเบี่ยงอีก 1 สะพานข้างในเป็น 3 สะพานนะครับ อิๆ 


เลือกเดินสะพานทางเดินสายกลางครับ เห็นวิวสวยๆตากล้องก็ต้องถ่ายภาพ แต่ก็เป็นนายแบบนางแบบให้หลวงไข่อีกที อิๆๆ 


ตรงนี้เป็นวิวถ่ายจากบนสะพานอันกลาง มองเห็นสะพานอีกสะพานหนึ่ง แต่ในลำธารมีแต่ก้อนหินขาวๆครับ น้ำน้อยมาก มีร้านกาแฟอยู่ด้านซ้ายมือ


อีกมุมครับ น้ำไม่มีเลยในลำธาร แห้งมากๆ 


แต่แถวๆสะพานที่เรายืนถ่ายร)กันอยู่ยังมีน้ำครับ คล้ายๆแอ่งน้ำ ตัวเล็กเห็นก็อยากลงไปเล่นน้ำ ลุงโรธเลยจัดให้ครับ เห็นมาบอกว่าน้ำเย็นมากๆ


รูปนี้เป็นวิวของสะพานด้านซ้ายสุดที่เราเดินมาจากซุ้มบริจาคกระเบื้องมุงหลังคาในรูปด้านบนนะครับ 


ร้านกาแฟครับ เราเดินกันแค่นี้ครับ ไม่ได้เข้าไปในเขตวัดเพราะสมาชิกคนอื่นที่เดินไม่ไหว รออยู่ข้างนอกนานแล้วก็เลย ขอบายแค่นี้ โอกาสหน้าถ้าจะมาอีกจะเข้าไปให้ลึกกว่านี้ครับ 


ให้ดูวิวของสะพานสายกลางที่เราเดินเข้ามาเมื่อกี้ครับ อันนี้เราเดินย้อนกลับทางเดิมแล้วนะครับ 


ก่อนกลับก็ถือโอกาสทำบุญบริจาคแผ่นกระเบื้องมุงหลังคาคนละแผ่นครับ แผ่นละ 10,000 วอนครับ ประมาณ 263 บาท 


ของหลวงไข่เองครับอิๆ เขียนชื่อบนกระเบื้องเสร็จแล้วก็เอามาวางกันตรงนี้แหละครับ ที่จริงไม่อยากจะออกสื่อนะครับถ้าไม่จำเป็น 555  แต่ที่เอารูปนี้มาลงเพราะอยากให้เห็นว่าองค์พระพุทธรูปอยู่ด้านหลังผมนี่เองครับ จะได้เห็นว่าอาณาบริเวณมันไม่ได้ไกลกันมาก เพราะสมาชิกเรากลัวไม่อยากเดินมาเพราะคิดว่ามันไกลเลยนั่งรอกันอยู่ด้านนอกตรงอาคารจุดขึ้นลงเคเบิ้ลคาร์ เขาก็พลาดโอกาสเห็นสิ่งสวยงามด้วยตาตนเองไปอย่างน่าเสียดายครับ เพราะฉะนั้นมาเที่ยวต่างประเทศทั้งที ถึงจะเหนือยแต่ก็ต้องอดทนเดินนิดหนึ่งเพื่อมาเจอสิ่งสวยงาม อย่าได้มองข้ามความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆเลยครับ คุณจะเสียด่าย เพราะไม่รู้อีกเมื่อไหร่ที่คุณจะมีโอกาสได้มาเที่ยวอีกในชีวิตคุณ


แถมอีกรูปครับ โคมไฟ ชอบจัง สีสดสวย ตามแนวขอบเขตบริเวณองค์พระพุทธรูปครับ


เกือบๆ 5 โมงเย็นแล้วพวกเราก็ได้เวลากลับครับผม เดินออกไปขึ้นรถเมล์ที่ป้ายตามเดิมครับ เพราะเราจะเดินทางไปโรงแรม ซอรัคซานรีโซเทล (설악산 리조텔 : Soraksan Resortel) ที่เราจองเอาไว้แล้วกับอโกด้าครับ 

นี่คือป้ายรถเมล์ครับ มีที่นั่งแค่นี้แหละ ปล่อยให้สามหนุ่มเกาหลีมันนั่งไป เราก็ยืนรอกันนอกป้าย


ตรงป้ายรถเมล์มีป้ายบอกเวลาเริ่มต้น และสิ้นสุดของการบริการรถบัสแต่ละสายด้วยครับ โดยสายที่เริ่มจากอุทยานแห่งชาติซอรัคซานตรงนี้คือสาย 7 หรือสาย 7-1 เท่านั้นนะครับ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมมันแสดงสองบรรทัดและเวลาก็ไม่เหมือนกันด้วย แล้วสายอื่นทำไมแสดงบรรทัดเดียว สรุปว่างงครับ 


รถเมล์สาย 7 มาแล้วครับ เราเลยขึ้นไป จ่ายค่ารถคนละ 1100 วอนครับ (ประมาณ 29 บาท) ก่อนรถออกก็เอาที่อยู่โรงแรมซอรัคซานรีโซเทลให้คนขับรถดู ปรากฏว่าคนขับรถไม่รู้จักครับ แต่ดีที่แกฉลาดโทรไปให้ครับ ยอมรับในความมีน้ำใจจริงๆครับ (เบอร์โทรโรงแรม +82336377007 นะครับ) พอเข้าใจแล้วว่าโรงแรมเราอยู่ตรงไหนลุงโชเฟอร์ก็ออกรถครับ นั่งมาประมาณ 3-4 ป้ายแค่นั้นเองครับ และต้องมาลงรถที่ป้ายหน้าศูนย์นักท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติซอรัคซานนะครับ (Seoraksan National Park Visitor Center : 설악산국립공원탐방안내소) 


เอาอีกรูปนะครับ จะได้เห็นภาพกว้างๆว่าหน้าตาของศูนย์นักท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติซอรัคซานเป็นเช่นไรครับ


ลงรถแล้วต้องเดินข้ามถนนไปฝั่งต่งข้ามแล้วเดินเข้าไปในซอยนี้นะครับ (มีร้านสะดวกซื้อ เซเว่นอีเลฟเวนด้วยครับ ตรงด้านซ้ายมือของรูปนี้) 


ร้าน 7-Eleven ที่ว่านี้คือร้านนี้แหละครับ 


เดินตามถนนไปเรื่อยๆเลยนะครับ ไม่ไกลมากครับ 


เดินต่ออีกนิดครับ ใกล้ถึงแล้ว


แล้วก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปในซอยนี้ครับ 


เดินอีก 50 เมตรก็ถึงแล้วครับ โรงแรมที่เราจองไว้ ซอรัคซาน รีโซเทลครับ 


เข้ามาก็เช็คอินครับ บรรยากาศตอนไปเช็คอินเหมือนโรงแรมร้างเลยครับ ไม่มีแขกคนอื่นเลย งงมากๆ (แต่ตอนค่ำก็เห็นมีแขกอื่นด้วยอีกหลายห้อง) นึกว่ามีลูกค้าแค่พวกเรา ห้องกว้างมาก ถ้าเทียบกับเตียง 


หลังจากนั้นก็ออกไปเที่ยวกันต่อในเมืองครับ เดินออกมาที่ปากซอย เดินข้ามถนนไปที่ป้ายรถเมล์ฝั่งศูนย์นักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติซอรัคซานที่เราลงรถเมล์ตอนนั่งมาจากอุทยานแห่งชาติซอรัคซานนะครับ จะนั่งสาย 7 หรือ 7-1 ก็ได้ เราจะไปเที่ยว Expo Park ในเมืองซกโชกันครับ ค่ารถ 1100 วอนอีกรอบครับ


บอกโชเฟอร์ว่าลงเอ็กซ์โปปาร์ค เขาจอดให้ลงแถวนี้ครับ ตอนแรกนึกว่าจะให้ลงตรง Expo Tower ซะอีก พอลงรถมาก็เจอสวนสนุกขนาดย่อมครับ มีเรือไวกิ้งด้วยครับ 


เดินลงมาถึงชายหาด มีป้ายโฆษณาหนังซีรี่เรืองอะไรนะ ผมไม่รู้จัก อิๆ ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง ไม่เคยดูซี่รี่เกาหลีเลยครับ ไม่แน่ใจว่าเรื่อง Autumn in my heart หรือเปล่า มองเห็นสะพานชองโฮ สีชมพูอยู่ลิบๆครับ 


สะพานชองโฮครับ 


วิวท่าเรือแถวๆนั้นครับ 


นางแบบกิตติมศักดิ์แห่งเมืองซกโช สวยและเซ็กซี่เหนือคำบรรยายใดๆ


กำลังเดินตามทางเดินเลียบชายฝั่งทะเลไป Expo Tower ครับ ที่จริงยังไม่มืดนะครับ ภาพมันย้อนแสง ตรงนี้เราจะมองเห็น Expo Tower เด่นตระหง่านอยู่ลิบๆครับ


ถึงแล้วครับ Expo Tower ลักษณะเหมือนมีบันไดวนอยู่รอบๆหอคอยแหลมค่าขึ้นชม 1,500 วอน (39 บาท)  แต่ไม่มีใครขึ้นไปครับ เพราะหิวข้าวมากๆๆๆๆ


ฝั่งตรงข้าม Expo Tower มีเซเว่นอีเลฟเวนด้วยครับ พวกเราเลยฝากท้องมื้อนี้กับอาหารกล่องอุ่นด้วยไมโครเวฟ เป็นมื้อที่อร่อยมากๆๆๆๆครับ 


ลานตรง Expo Tower เป็นที่โล่งๆ มี ATV ขนาดเล็กให้เช่าให้เด็กๆหัดขับเล่นกันด้วยครับ


Expo Tower อีกมุมครับ ถ่ายจากที่นั่งกินข้าวข้างเซเว่นอีเลฟเว่นครับ 


ม้านั่งตรงเซเว่นอีเลฟเว่นที่เรานั่งกินข้าวกันครับ มี Wifi ให้แอบใช้ฟรีๆด้วยครับที่บริเวณนี้ ดีมากๆเลย


ประมาณเกือบๆ 2 ทุ่มก็ได้เวลากลับครับ สรุปคือมานั่งรถเล่น กินข้าวแล้วก็กลับ 555 พนักงานร้านเซเว่นบอกว่าป้ายรถเมล์อยู่แถวๆ ร้านแมคโดนอล 


มาถึงป้ายรถเมล์แล้วนะครับ หันไปมอง Expo Tower ยามค่ำมืดครับ 


ป้ายรถเมล์อยู่หน้าร้าน LG นะครับ อย่าเที่ยวดึกมากนะครับ เผื่อรถหมด แต่ที่จริงน่าจะหมดสี่ทุ่มกว่าถ้าดูจากป้าย ยังไงก็กันไว้ก่อนเดี๋ยวถ้าต้องนั่งแท็กซี่คงจะเสียเงินเยอะเกินความจำเป็นครับ 


กุญแจห้องที่ซอรัคซานรีโซเทลครับได้ห้อง 109


เริ่มได้ของฝากนิดๆหน่อยๆแล้วครับ ลูกอม หมากฝรั่ง ช็อกโกแล็ตเพียบเลย จากเซเว่นอีเลฟเว่นปากซอยโรงแรมครับ พรุ่งนี้เราต้องเดินทางอีกยาวไกลครับ จะไปเกาะนามิกันครับผม 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น