รีวิวทริปเที่ยวเกาหลีใต้ กรุงโซล ซอรัคซาน เกาะนามิ ด้วยตนเอง

รีวิวทริปเที่ยวเกาหลีใต้ กรุงโซล ซอรัคซาน เกาะนามิ ด้วยตนเอง
South Korea Trip Review, Seoul Soraksan Sokcho Nami Island

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วันที่ 3 เที่ยวหมู่บ้านโบราณนัมซานกล(남산골한옥마을) พระราชวังเกียงบก (경복궁)วัดโชเกชา (조계사) อินซาดง (인사동) พิพิธภัณฑ์สามมิติ trick eye museum (트릭아이미술관)

สวัสดีครับ วันนี้ก็เป็นวันเสาร์ ที่ 4 พฤษภามคม 2556 ซึ่งเป็นวันที่ 3 ของการเดินทางนะครับ วันนี้แผนการของเราคือเที่ยวสถานที่ต่างๆในกรุงโซลครับ ที่แรกที่เราจะไปกันก็คือ หมู่บ้านโบราณนัมซานกล (Namsangol Hanok Village : 남산골한옥마을 ) วิธิเดินทางไปที่นี่ก็คือ นัง subway จากสถานีเมียงดง (424) ไป 1 สถานี ไปลงสถานี Chungmuro (423) ออกประตู 3 หรือ 4 จะเจอทางเข้าครับ 

ออกมาก็จะงงๆ นิดหนึ่งเพราะคิดว่ามันต้องเป็นหมู่บ้านหรืออะไรนอกเมือง แต่ออกมาแล้วก็ยังเจอวิวแบบเมืองใหญ่เหมือนเดิมครับ ต้องสังเกตป้ายนิดหนึ่งแล้วเดินไปตามป้ายบอกนะครับ จากในรูปนี้ให้เดินไปข้างหน้าก็จะเจอป้าย Namsangol Hanok Village : 남산골한옥마을  ครับ ตรงทางแยกข้างหน้า ก็เดินเลี้ยวซ้ายเข้าไปเลยครับ


เข้ามาแล้วตรงปากทางเข้าหมู่บ้านโบราณเจอรถขายของกินเล่นเสียบไม้ ก็หารองท้องกินกันก่อนครับ ลุงกับป้ามาเจ้าของรถบอกว่าจะมาขายตรงนี้ทุกวัน ไก่เสียบไม้ จิ้มน้ำจิ้ม 3000 วอนครับ แต่ก็ชิ้นใหญ่มากครับ ไม้เดียวก็อิ่มแล้วครับ 


อย่างอื่นก็มี เช่น ต๊อกป๊อกกี่ แต่ผมไม่ค่อยชอบ เพราะว่ามันจืดๆ เผ็ดๆ ผมว่าไม่อร่อยเลย อิๆ  


ป้ายทางเข้าหมู่บ้านโบราณ Namsangol Hanok Village : 남산골한옥마을  มีป้ายติดไว้ด้วยว่าปี 2013 มีเทศกาลทำขนมจากข้าว ขนมหวาน และการทำเหล้าพื้นเมืองของเกาหลีครับ 


เข้ามาด้านในจะเจอที่ถ่ายรูปให้เราเอาหน้าแหย่เข้าไปครับ ทั้งนักรบ ทั้งแบบสวยๆ แบบชุดฮันบก


เดินเข้ามาข้างในเจอเต๊นท์ที่แสดงและขายสินค้าพื้นเมืองครับ


มีคุณลุงท่านนี้มาแสดงวิธีการทุบข้าวเหนียวให้แบนๆก่อนนำไปทำเป็นขนมแบบต่างๆครับ มีการให้นักท่องเที่ยวลองทุบด้วยครับ แต่ท่าทางไม้ที่ใช้ทุบจะหนักมาก เพราะใครๆที่ลองทุบดูก็ทุบไม่แรงเท่า
คุณลุงเลยครับ 


ภายในเต๊นท์ที่จัดแสดงและจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองครับ 


ตรงนี้เป็นประตูชั้นในอีกที ที่จะเข้ามาชมบ้านโบราณครับ 


ข้างในก็จะมีบ้านแบบเกาหลีโบราณอยู่ 4-5 หลังนะครับ แค่ให้ถ่ายรูป ไม่อนุญาตให้ขึ้นไปหรือเข้าไปในตัวบ้านนะครับ มีคุณครูพาเด็กๆอนุบาลหรือประถมตัวเล็กๆ มาชมด้วยหลายคณะเลย 


แถมอีกรูปครับ 


อันนี้ก็แถมอีกรูปนะครับ บ้านโบราณแบบเกาหลี 


ข้างในบ้านก็จัดแสดงพวกเครื่องใช้ไม้สอยในบ้านครับ อันนี้เป็นห้องครัว มีเตาไฟมีไม้ฟืนด้วย


อีกมุมมีไหอยู่เต็มไปหมด สันนิษฐานว่าน่าจะเอาไว้เก็บกิมจิครับ 


ด้านนอก มีเจ้าหน้าที่แต่งชุดเกาหลีมาให้ถ่ายรูปด้วยครับ


มีบ้านอยู่หลังหนึ่งที่มีบริการให้ใส่ชุดฮันบกด้วย แต่เราไปเร็วไปเพราะเขาเริ่มตอน 11 โมงเช้าครับจนถึง 5 โมงเย็น มีบริการทุกวันยกเว้นวันอังคารนะครับ ค่าใส่ชุดคนละ 3000 วอน ซื้อตั๋วได้ที่เจ้าหน้าที่ตรงลานด้านหน้าครับ เขาจะขายตั๋วก่อน 11 โมงเล็กน้อย ต้องรีบไปซื้อตั๋วนะครับ ไม่งั้นรอคิวใส่ชุดนานแน่ๆ คนเยอะเหลือเกินครับ


ได้ตั๋วแล้วก็เอามาให้เจ้าหน้าที่คือป้าคนนี้ครับ แกจะเลือกชุด และใส่ชุดให้เรา เพราะเราใส่กันไม่เป็นครับ ผูกตรงโน้นตรงนี้ กว่าจะได้กันแต่ละชุด ถ้าไม่ได้ตัวช่วยคงจะไม่ได้ถ่ายรูปกันแน่ๆ 


ภาพที่พวกเราใส่ชุดฮันบก กันนี่ผมขอนำเสนอแค่ภาพเดียวครับ คนอื่นใส่แล้วไม่คือ ยกเว้นเธอคนนี้ครับที่ผมภูมิใจนำเสนอมาก น่ารักมั้ยล่ะครับ นางแบบของเรา ....


สองพี่น้องตระกูล .....


อ้าว อีกรูปก็ได้ เดี๋ยวน้อยใจไม่ได้ออกสื่อ คนอื่นไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ โดยเฉพาะผมเองไม่ ขอไม่เอามาลงละกัน อิๆ ( ปล. ลูกกลมๆที่ร้อยเป็นพวงที่หมวกของลุงชุดแดงไม่ใช่ลูกตะขบนะครับ อิๆ)


ถ่ายรูปชุดฮันบกเสร็จแล้วก็มาถ่ายชมสวนกันครับ มองเห็นวิวโซลทาวเวอร์ตระหง่านอยู่ลิบๆครับ 


สวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ริมทางเดินไปแคปซูลแห่งกาลเวลา ซึ่งจะอยู่ไกลไปอีก พวกเราไม่ได้เดินไปดูครับ แค่นี้ก็ขาจะลาก ต้องเดินอีกทั้งวันครับวันนี้ 


กลับมาตรงลานด้านหน้า มีสาธิตการปั้นขนมหรือน้ำตาลให้เป็นตุ๊กตาตัวเล็กๆ แล้วให้เอากลับบ้านได้ด้วยครับ ท่าทางน่าสนุก


ปิดท้ายด้วยภาพสวนด้านหน้าทางเข้านะครับ หลังจากนี้เราก็จะเดินทางไปเที่ยวพระราชวังเกียงบกนะครับ  (경복궁) เดินทางด้วย subway จากสถานีชุงมูโร แต่ต้องเปลี่ยนเป็นสายสีส้มนะครับ คือสาย 3 (ที่สถานีชุงมูโร สาย 4 สีฟ้าหมายเลขสถานีจะเป็น 423 ส่วนสายสีส้มจะหมายเลข 331 ครับ) ให้นั่งสาย 3 ไป อีก 4 สถานีลงสถานี Gyeongbokgung (327) แล้วให้เดินออกประตู 5


ก่อนทางออกจะเจอซุ้มประตูอะไรก็ไม่รู้ให้ถ่ายรูป ทำท่าซารังเอโย คนเกาหลีที่เดินผ่านไปผ่านมามองขำกันใหญ่ 


ออกมาก็จะเจอความยิ่งใหญ่ของประตู กวางฮวามุน (Gwanghwamun Gate) มองเห็นอยู่ด้านขวามือเราครับ วันนี้ตั้งใจจะมาดู การแสดงการเปลี่ยนเวรยามของทหารราชองค์รักษ์ (มีเวลา 10:30 , 13:30 , 15:30 ใช้เวลาแสดงประมาณ 30 นาที) แต่จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ปรากฏว่าวันนี้ไม่มีการแสดงการเปลี่ยนเวรยาม แต่ละมีการแสดงอย่างอื่นแทน และวันนี้ไม่มีการจ่ายค่าเข้าชมพระราชวังครับ (จากข้อมูลที่ได้ไปก่อนหน้าค่าเข้าชมพระราชวังเคียงบก + พิพิธภัณฑ์ 3000 วอน เด็ก 1500 วอน และจะปิดวันอังคาร เปิดระหว่าง 9:00 – 18:00 น.ครับ) 


ส่วนด้านซ้ายมือจะเห็นแนวกำแพงยาวเหยียด และประตูทางเข้าไปเขตพระราชวังด้านในครับ พระราชวังเคียงบก (ภาษาอังกฤษเรียกว่า Palace of Shining Happiness ภาษาไทยน่าจะแปลว่าพระราชวังแห่งความสุขที่เจิดจรัส 555 ผมแปลเอาเองนะ) เป็นพระราชวังที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกาหลี สร้างปี คศ.1394 ในสมัยพระเจ้าแทโจ (เทียบเป็น พศ.ก็จะเป็นปี พศ.1937 ประเทศไทยก็จะตรงกับช่วงรัชสมัยของพระยาลือไท หรือพระมหาธรรมราชาที่ 2 พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรสุโขทัยลำดับที่ 7 ซึ่งครองราชย์ พ.ศ. 1911 - พ.ศ. 1942 ต่อจากพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) 555 ไปไกลถึงโน่น อันนี้เทียบให้เห็นยุคสมัยนะครับจะได้ประมาณถูกและนึกภาพออกว่ามันนานมากขนาดไหน แต่ก็เป็นยุคหลังจากสมัยพ่อขุนรามคำแหงไปแล้ว) พระเจ้าแทโจเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โชซอน (คศ.1392-1897) ภายในพระราชวังมีพระตำหนักที่เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ และเป็นเรือนพักข้าราชสำนัก ที่ทำการสถานประกอบพระราชพิธีและจัดเลี้ยง สถานทีเสด็จออกว่าราชการ สันนิษฐานว่าเดิมทีมีอาคารน้อยใหญ่ประมาณ 200 หลัง แต่ช่วงคศ.1592 - 1598 (เทีียบเป็นพศ.ก็ ปีพศ. 2135 - 2141 สมัยนั้นประเทศเราก็สมัยพระนเรศวรเลยครับ พระนเรศวรทรงครองราชย์ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2133 - 25 เมษายน พ.ศ. 2148) ก็โดนญี่ปุ่นรุกรานและเผาจนเหลือประมาณ 10 หลัง หลังจากนั้นพระราชวังเคียงบกก็เป็นซากปรักหักพังอยู่เกือบ 300 ปี จนกระทั้งปี 1865 ทางการเกาหลีได้ทุ่มเทงบประมาณมหาศาลในการบูรณะพระราชวังให้งดงานเฉกเช่นในอดีต  


ผ่านซุ้มประตูใหญ่ของพระราชวังเข้าไปสิ่งแรกที่พบคือพระที่นั่งคึนชองจอน Geunjeongjeon) ที่เห็นในปัจจุบันนี้ได้รับการบูนณะขึ้นมาใหม่ในปี 1867 หลังจากที่ถูกทำลายในสงครามกับญี่ปุ่น ที่นี่ถูกใช้เป็นศูนย์กลางในการออกว่าราชการงานแผ่นดินของกษัตริย์เกาหลีหลายพระองค์ บรรดาขุนนาง แม่ทัพก็เข้าเฝ้าถวายรายงานต่อกษัตริย์ครับผม 


ภายในพระที่นั่งคึนชองจอนครับ


อันนี้ผมให้ดูลวดลายบนชายคาของพระที่นั่งนะครับ ส่วนใหญ่ผมว่าดูๆไป ลายก็เหมือนกันทุกหลังเลยมั้ง หรือผมแยกไม่ออกก็ไม่รู้ 555 


เข้าไปข้างในอีกเรื่อยๆ ก็ได้ยินเจ้าหน้าที่ประกาศเป็นภาษาเกาหลี ประมาณว่าจะมีการแสดงอะไรบางอย่าง  พวกเราก็เข้าไปดู ประมาณว่าเป็นการแสดงการออกว่าราชการของกษัตริย์สมัยก่อนครับ นี่แหละครับ โชว์วันนี้ จึงทำให้ไม่มีโชว์ทหารเปลี่ยนเวรยาม 


ผมชอบจริงๆเลยครับเวลาเห็นบรรดาทหารใส่ชุดหลากสีสันแบบนี้ การแสดงค่อนข้างนานมากครับ และมีแต่บรรยายภาษาเกาหลี เราเลยขอบายไปชมด้านหลังต่อครับ 


เดินผ่านหมู่อาคารทะลุกำแพงออกไปทางด้านซ้ายมือจะเห็นพระตำหนักเกียงเฮรู (Geongheru) ตั้งอยู่กลางสระน้ำ ในสมัยก่อน สถานที่แห่งนี้ใช้เป็นที่จัดพระราชทานงานเลี้ยงในโอกาสต่างๆ


หลังจากนั้น ถ้าเดินขึ้นไปทางทิศเหนือไปเรื่อยๆ จะเจอกับพระตำหนักกลางน้ำฮางวอนจอง (Hyangwonjeong) รูปทรงหกเหลี่ยมคล้ายศาลาตั้งอยู่บนเกาะกลางน้ำโดยมีสะพานไม้ทอดข้ามเข้าไป(แต่เขามีป้ายห้ามเข้าไปนะครับ) ด้านหลังในรูปคือยอดเขามังกรในเขตอุทยานแห่งชาติพูกันซานเด่นตระหง่านเป็นฉากหลังครับ 


เอ๊า โหลดผิดรูป ไหนๆก็โหลดมาแล้วถือว่าแถมละกันครับ อีกมุมหนึ่งของพระตำหนักกลางน้ำฮางวอนจอง (Hyangwonjeong)


เดินไปทางด้านตะวันออกของพระราชวังเคียงบกจะเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติเกาหลี ตัวอาคารคล้ายเจดีย์สี่เหลี่ยมหลังคา 5 ชั้น วันที่พวกเราไปเห็นมีกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังมุงดูอะไรกันอยู่ 


เข้าไปก็เห็นว่าเป็นการแสดงโชว์อะไรสักอย่างไม่แน่ใจ ไม่มีคำอธิบายภาษาอังกฤษครับ เทาที่เห็นก่อนหน้าก็เหมือนจะมีระบำหน้ากากด้วยครับ 


ภายในพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติเกาหลีจัดแสดงเรื่องราววิถีการดำเนินชีวิตของคนเกาหลีในสมัยโบราณตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยราชวงศ์โชซอน เช่นเครื่องไม้เครื่องมือในการประกอบอาหาร เครืองแต่งกาย อาหาร โดยเฉพาะการทำกิมจิ แล้วก็มีพวกเครื่องปั้นดินเผา ด้วยครับ 


ชมพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านเสร็จก็เดินกลับออกมาด้านหน้าตรง ประตูกวงวามุน เห็นมีประมาณว่าทหารราชองครักษ์ผลัดเปลี่ยนเวรยาม (ไหนเจ้าหน้าที่บอกไม่มี แต่ทำไมมันมีล่ะครับ ตกลง ผมล่ะงงกับอิฟอร์เมชั่นจากเจ้าหน้าที่จริงๆ แต่ก็มีนิดๆครับ ไม่ได้จำนวนทหารแบบเยอะๆแบบที่เคยเห็นในรูป


เสร็จแล้วก็มีทหารยืนเฝ้าหน้าประตูเหมือนเดิมครับ พี่แกนิ่งมาก ไม่มีการแสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ


ถ่ายใกล้ๆก็ได้ครับ แต่ว่าต้องแย่งกันถ่ายนะเนี่ยคนเยอะเหลือเกิน 



จากประตูกวงวามุน เดินข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามมีเวทีการแสดงดนตรีและมีนักร้องด้วย ผู้หญิงในรูปร้องเพลงเพราะมากๆ เพราะจนแบบว่าต้องหยุดดูนานเลยทีเดียว 


จากเวที ถ้าหันมามองด้านหลังจะเห็นอนุสาวรีย์กษัตริย์เซจง(กษัตริย์เซจงมหาราชผู้ประดิษฐ์อักษรเกาหลีในปี 1440 ด้านหลังอนุสาวรีย์พระเจ้าเซจงสามรถกดลิฟล์ลงไปชมพิพิธภัณฑ์พระเจ้าเซจงฟรี เปิด 10:30 – 22:30 ปิดวันจันทร์) และอนุสาวรีย์แม่ทัพอีซุนชิน(ขุนพลที่นำทัพเกาหลีต่อสู้กับญี่ปุ่น) อยู่ลิบๆครับ แต่พวกเราไม่ได้เดินไปทางนี้นะครับ ถนนเส้นนี้ถ้าเดินตรงไปแล้วเลยอนุสาวรีย์แม่ทัพอีซุนชินไปอีกนิดก็จะเจอปฏิมากรรมหอยหลอดสีม่วงต้นคลองชองเกชอนครับ (พวกเราไม่ได้ไปเดินเพราะสภาพร่างกายสมาชิกบางท่านไม่เอื้ออำนวยแก่การเดินเยอะๆครับ)


ตรงลานที่นักน้องร้องเพลงเมื่อครู่ก็มีนักเรียนนักศึกษาที่ไม่ทราบเหมือนกันว่าอาจารย์เขาพามาซ้อมเต้นหรือทำอะไร 


ดูไปดูมาก็สวยงามดี ด้วยชุด วิวตึก และ บรรยากาศครับ 


ข้ามถนนกลับมาฝั่งประตูกวางฮวามุน (หันหน้าเข้าทางประตูกวงฮวามุน)เลี้ยวขวาเดิมตามถนนเลียบกำแพงพระราชวังเคียงบกมาเรื่อยๆจะเจแป้อมเก่าๆแบบนี้ครับ เรากำลังจะเดินไปอินซาดงกันครับ ไม่ไกลครับ 


จากป้อมเมื่อกี้ที่จริงต้องข้ามถนนและเดินตรงไปอีกเรื่อยๆ แต่เรามาเจอของกินก่อนครับเลยแวะซื้อ มันคือเกาลัดย่างครับ หอม น่ากินมากๆ แต่บางเม็ดยังย่างไม่สุก เสียอารมณ์มากๆ 


ซื้อเกาลัดเสร็จแล้วก็เดินกลับมาที่ป้อมเหมือนเดิม เดินตรงไปเรื่อยๆ ตามถนน Yulkok-ro เส้นเดิมที่เราเดินมาจากหน้าพระราชวังเคียงบก ตลอดนะครับไม่ต้องเลี้ยวไปทางไหน 


สักพักเจอทางแยก (แต่อยู่คนละฟากถนนฝั่งที่เราเดินมานะครับ) ให้สังเกตปฏิมากรรมอันนี้ครับ เป็นแท่งๆ โค้งๆ ผมมองไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร เห็นปฏิมากรรมนี้แล้วก็ข้ามถนนมาฝั่งปฏิมากรรมนี้เลยครับ 


ตรงปฏิมากรรมจะมีแยกเล็กๆอีกนะครับ ซ้ายมือถือถนน Insadong - gil ขวามือเป็นถนน Ujeongguk-ro ซึ่งสามารถไปวัดโชเกซา (Jogyesa : 조계사) ที่มีโคมไฟเยอะๆได้ แต่สมาชิกยังไม่อยากไปวัดก็เลยเดินเข้าถนนคนเดินอินซาดงก่อนครับ 


สองฟากถนนอินซาดงเต็มไปด้วยร้านค้าสองฟากถนน มีซอยเล็กซอยน้อย มีร้านค้า ขายของที่ระลึกเยอะมากๆครับ 


แล้วก็หาร้านกินข้าวมื้อแรกของวัน ปาเข้าไปบ่ายโมงกว่าแล้ว สั่งบิมบิมบัพ มากินกัน เพราะว่ามันถูกที่สุดแล้วครับ รู้สุกว่าจะ 6000 วอนต่อจาน แต่เขาจะแถมกิมจิมาด้วยครับ อร่อยดี 


กินข้าวเสร็จ สาวๆเขาช็อปปิ้งกิน สองหนุ่มเลยถือโอกาสเดินไปวัดโชเกซา (Jogyesa : 조계사) ครับ จากถนนอินซาดงให้หาแยก Insadong 11-gil มันจะไปเชื่อมกับถนน Ujeongguk-ro  ครับ ออกมาตรงปากซอยก็เจอวัดโชเกซาเลยครับ


ตรงถนน Ujeongguk-ro มองลงไปทางใต้จะเห็นตึกชงโนทาวเวอร์ครับ (Jongno Tower) 


ข้ามถนนไปวัดโชเกซา มีโคมไฟนับหมื่นๆดวงครับหลากสีสันงามตา 


เดินเข้าไปในอุโบสถ(อุโบสถชื่อ แดอุงจอน) เจอชาวเกาหลีพุทศาสนิกชนนิกายเซนกำลังสวดมนต์ กราบไหว้พระศากยมุนี พระอมิตาภพุทธะ และพระไภษัชยคุรุพระพุทธเจ้าทั้งสามองค์ซึ่งเด่นตระหง่านอยู่ข้างในงดงามยิ่งนักครับ ขอบอกว่าองค์ใหญ่มากๆครับ ตอนดูในรปนึกว่าองค์เล็กๆ น่าเลื่อมใสศรัทธามากๆครับ 


ด้านนอกใต้ร่มไม้ใหญ่ก็มีการทำกิจกรรมอะไรกันสักอย่าง ไม่ทราบแน่ชัด มีพูดกันแต่ภาษาเกาหลี 


มีตู้บริจาคให้ทำบุญด้วยครับ 


สองหนุ่มชมวัดเสร็จแล้วก็เดินย้อนกลับมาทางเดิมตามทางซอย  Insadong 11-gil ที่เดินมาเมื่อกี้ ออกมาตรงถนนอินซาดงมาเจอสมากชิก ครบแล้วก็เดินทางกันต่อไป เจอของกินแปลก น่าสนใจมากมาย ของกินแต่ละอย่างไม่ซ้ำกันเลยครับ แถมมีจุดเด่นสร้างสรรค์น่าสนใจเขาเลยขายกันได้ อย่างเรื่องง่ายๆ เช่นไอศกรีม อันนี้เขาเอาโคนมาทำเป็นรูปบิดๆเบี้ยวๆโค้งๆ เขาก็ขายกันดีเป็นเทน้ำเทท่าครับ แต่รสชาติก็คงต้องอร่อยด้วย คนก็ต้องเข้าแถวยาวรอซื้อ หลวงไข่เห็นคิวยาวขนาดนี้ขอบายครับ ขี้เกียจรอ รู้สึกจะอันละ 5000 วอน 


เดินลงไปเรื่อยๆจนสุดถนนอินซาดงก็เลี้ยวขวาเข้าถนน Jongno เดินไปเรื่อยๆ กะว่าจะไปเดินคลองชองเกชอน (청게천) แต่สมาชิกเดินไม่ไหว เจอสถานี subway ตรงตึก Jongno Tower สถานี Jonggak (131) ก็เลยข้ามสเต็ปจะไปเดินหาทริกอายมิวเซียมแทนครับ  หรือเรียกว่าพิพิธภัณฑ์สามมิติ trick eye museum (트릭아이미술관)      


ภาพนี้คือตึก Jongno Tower นะครับ ตรงสถานี Jonggak (131) เราก็จะไป พิพิธภัณฑ์สามมิติ trick eye museum (트릭아이미술관)      โดยการนั่ง Subway สาย 1 ไปแค่ 1 สถานีลงสถานี City Hall (132) เปลี่ยนมาเป็นสายสีเขียว (201) ไปลงสถานี Hongik University (239) 



ถึงสถานี Hongik University (239) แล้วก็เดินออกประตู 9 เดินขึ้นมาจากสถานีแล้วเดินต่อไปอีก 100 เมตรจะถึงทางแยก ก่อนถึงทางแยกจะผ่าน City Bank ถึงทางแยกให้เดินตรงไป ข้ามถนนแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Hongik-ro (홍익로) เดินไปอีกเรื่อยๆเจอซอย Hongik-ro  5- gil (홍익로 5 길) เดินต่อไปเรื่อยๆจนถึง Hongik-ro 3-gil (홍익로 3 길) เดินเลี้ยวขวาเข้าซอยนี้อีกประมาณ 30 เมตร เจอ Trick Eye museum ด้านขวามือ เปิด 09:00 – 21:00 ค่าเข้า 13,000 วอน เด็กต่ำกว่า 18 ปี 11000 วอน ถ้าหาไม่เจอก็ให้ก๊อปปี้ชื่อภาษาเกาหลีเอาไว้แล้วถามคนเกาหลีแถวๆนั้นเอานะครับ  (Trick Eye museum : 트릭아이미술관) หาค่อนข้างยาก และมันอยู่ใต้ดินครับ (พวกผมเดินหลงเลยไปอีก 1 ซอยคือ ซอย 어울마당로 แต่ถามคนขายของแถวนั้นเอาเขาก็ชี้ทางมา และจากซอย 어울마당로มันก็สามรถเดินทะลุมาถึงซอย Hongik-ro 3-gil ได้ครับ ตรงกับ Trick Eye museum พอดี 


เพิ่งไปเจอโบรชัวร์ของทริกอายมิวเซียมมาครับ เลยสแกนเอามาให้ดูแผนที่ เผื่อนึกภาพไม่ออกว่าต้องเดินไปทางไหน หลังจากที่เดินออกมาจากประตู 9 subway สถานี Hongik University ทริกอายมิวเซียมเป็นอาคารสีชมพูตรงกลางในรูปนะครับ


ป้ายทางเข้าซึ่งเป็นทางลงไปใต้ดินเล็กมากครับ ไม่สังเกตไม่รู้นะครับ มีชื่่อพิพิธภัณฑ์ 3 มิติภาษาไทยด้วยครับ สงสัยคนไทยมาเที่ยวเยอะมากๆ


ตรงที่ซื้อตั๋วมีตุ๊กตุ่นแต่งตัวประจำชาติน่ารักๆกล่าวต้อนรับเป็นภาษาของประเทศตัวเองด้วยครับ 


ทีนรี้ใครจะเลือกถ่ายเอามุมไหนเชิญเลยครับ มีรูปเยอะมากๆ


คนลอยติดผนัง


ขำๆ


ป้าส้มเต้นบัลเล่ต์


ป้าส้มยักหงาย 


ลุงโรธล่องเรือในเวนิส


ลุงโรธปีนต้นไผ่แข่งกับหมีแพนด้า


ป้าส้มบอกว่า เล็กอ่ะ


ลุงโรธให้สัมภาษณ์ท่านประธานาธิบดีบารัค โอบามา



ภาพนี้ไม่เนียน แแต่ขำหน้านางแบบคนหลัง เลยภูมิใจนำเสนอมากๆๆๆๆ ครับ 


ปิดท้ายกันด้วยห้องกระจกหลายมิติแบบเข้าไปแล้วก็งงๆว่าทางไหนทางเข้าทางออก หลังจากนั้นก็กลับโรงแรมนัมซานเกสท์เฮาส์ ตอนค่ำเดินตลาดเมียงดงนิดหน่อยก่อนหาอะไรกินปากซอยแล้วเข้านอนครับ พรุ่งนี้เราจะเดินทางไปอุทยานแห่งชาติซอรัคซานกันครับ 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น